ในปี 2566 เราได้พูดคุยเรื่องเงินในวารสารประชาสัมพันธ์ กันอย่างเข้มข้น (เกือบทุกเล่ม) ซึ่งถามว่า “ทำไมเราควรจริงจัง กับเรื่องเงินๆทองๆ” เหตุผลหลักก็น่าจะเป็นเรื่องสืบเนื่องจาก การระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งจะนำพาเศรษฐกิจโลกไปสู่ทางตัน
เมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิิจทั่วโลก จุดวัดใจที่สำคัญที่หนีไม่พ้นเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐของแต่ละประเทศ ว่าจะออกมาใน รูปแบบไหน เพื่อให้รัฐบาลพยายามคงสภาพตัวเลขทางเศรษฐกิจ ได้อย่างสวยงาม ยกตัวอย่างเช่น PPI ,CPI, GDP ซึ่งเมื่อเชื่อมโยง ความสัมพันธ์กับประชาชนจริงๆแล้วกลับพบว่า แทบจะแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง
วิธีคิดง่ายๆว่าอะไรจะเสื่อมค่าหรือไม่นั้น นอกจากการคงสภาพความใหม่หรือเก่าของวัตถุชิ้นนั้น ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องของ “การผลิต” ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่างคำว่า Limited Edition พอมีคำนี้พ่วงมา ในสินค้าชนิดใด ราคามักจะแพงกว่าปกติเสมอ แม้แต่เงินตราที่ผลิต ออกมามีลวดลายแตกต่างจากท้องตลาดก็ราคาแพงกว่าตัวเลขที่ระบุ อยู่บนธนบัตร
ในยุคหนึ่งเราเคยใช้เบี้ยใช้เปลือกหอยในการเป็นสื่อกลาง การแลกเปลี่ยน แต่เมื่อโลกรู้จักการประมง เปลือกหอยก็หมดคุณค่า หรือการล่มสลายของเงินชนิดหนึ่งที่น่าเศร้าบนโลกใบนี้ เช่น “ลูกปัดอักกรี” ครั้งหนึ่งลูกปัดอักกรีนั้นเคย ถูกใช้เป็นเงินในแอฟฟริกาตะวันตกมานาน เป็นสิ่งมีค่าที่ถูกยอมรับภายในท้องถิ่นนั้น แต่เมื่อชาวยุโรปที่มีเทคโนโลยีที่สามารถผลิตลูกปัดได้อย่างไม่จำกัด จึงนำลูกปัดนี้เข้าสู่แอฟฟริกาใต้ และสามารถกว้านซื้อทรัพยากรต่างๆของแอฟฟริกาได้อย่างไม่จำกัด เช่นกัน เมื่อลูกปัดอักกรี สิ่งที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสิ่งมีค่า สามารถเก็บออมเพื่อรักษาความมั่งคั่งของผู้ที่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อแลกค่าตอบแทนเป็นลูกปัด วันหนึ่งกลับสูญสิ้นมูลค่าเพราะลูกปัดที่ถูกผลิตได้อย่างไม่จำกัด ของชาวยุโรป
สิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะพอขายเพื่อนำเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ประทังชีวิตไปได้นั่นก็คือ “ชีวิตของพวกเขาเอง” นั่นจึงเป็นที่มาของ “ลูกปัดทาส” นั่นเอง
เมื่อมองเปรียบเทียบนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่แจกจ่าย “เงิน” ของทุกรัฐบาลบนโลกใบนี้ เราจึงชวนตั้งคำถามอยู่เรื่อยๆว่า นโยบายประชานิยม หรือ สวัสดิการ ผ่านการแทรกแซงระบบการเงิน มาอย่างช้านานกำลังส่งผลอย่างไร?
และจริงๆแล้ว สินค้าอุปโภค บริโภคราคาแพงขึ้น หรือ เงินของเรากำลังเสื่อมค่ากันแน่ แล้วคุณคิดว่า เรากำลังใช้ “ลูกปัดทาส” กันอยู่หรือเปล่า?